วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เขียนโปรแกรมภาษา(เทอม2)

หลักพื้นฐานในการเขียนโปรแกรม
การเขียนโปรแกรมภาษามีขั้นตอนการทำงานที่เรียกว่า  วงจรพัฒนาโปรแกรม  โดยใช้ผังงานช่วยในการออกแบบโปรแกรม  เพื่อให้โปรแกรมภาษาที่พัฒนานั้นสามารถแก้ปัญหาหรือส่งเสริมการทำงานได้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ

   วงจรพัฒนาโปรแกรม
                 วงจรพัฒนาโปรแกรมมีจุดประสงค์หลักเพื่อสร้างโปรแกรมภาษาสำหรับแก้ปัญหาและส่งเสริมการทำงานในระบบงานหนึ่ง ๆ  แบ่งเป็น  5  ขั้นตอน  ดังนี้

    1. การวิเคราะห์ปัญหา  (Analyze  the  Problem)  เป็นขั้นตอนการศึกษาถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและค้นหาสิ่งที่ต้องการเพื่อพิจารณาสิ่งต่อไปนี้

        Input            คือ  ข้อมูลที่จะนำเข้าสู่คอมพิวเตอร์มีอะไรบ้าง 

        Process     คือ  วิธีการประมวลผลข้อมูลที่นำเข้าเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการคืออะไร

        Output        คือ  การแสดงผลลัพธ์ที่ได้คืออะไร  และมีรูปแบบเป็นอย่างไร
 
    ตัวอย่างเช่น  เมื่อเราต้องการสร้างโปรแกรมที่มีการนำตัวเลขเข้ามา  5  ตัว  และให้แสดงผลเป็นค่าเฉลี่ยบนหน้าจอภาพ

        Input           คือ  ตัวเลข  5  ตัว  เช่น  2, 5, 3, 4, 1

        Process     คือ  คำนวณหาค่าเฉลี่ย  เช่น ( 2 + 5 + 3 + 4 + 1)/5

        Output        คือ  แสดงค่าเฉลี่ยผ่านทางหน้าจอภาพ  เช่น  3

    2.  การออกแบบโปรแกรม  (Design  a  Program)  เป็นขั้นตอนการใช้เครื่องมือต่างๆ  ออกแบบลำดับขั้นการทำงานของโปรแกรม  เพื่อให้เห็นทิศทางหรือการทำงานโดยรวมของโปรแกรม  ตัวอย่างเครื่องมือที่ใช้ในการออกแบบโปรแกรม  เช่น  รหัสจำลอง  (Pseudo  Code)  และผังงาน

    3.  การเขียนโค้ด  (Coding)  เป็นขั้นตอนการสร้างโปรแกรมผ่านการเขียนโค้ด  การคอมไพล์และการทดลองใช้โปรแกรมและการทดลองใช้โปรแกรม  โดยการเขียนโค้ดจะต้องปฏิบัติตามที่ได้ออกแบบไว้ในขั้นตอนการออกแบบโปรแกรม  ซึ่งผู้สร้างโปรแกรมภาษาจะต้องเลือกใช้ภาษาคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมกับการทำงานของโปรแกรม  เนื่องจากภาษาคอมพิวเตอร์แต่ละภาษาจะเหมาะสมกับการเขียนโปรแกรมภาษาที่ไม่เหมือนกัน      ตัวอย่างเช่น

                 1. ภาษาเครื่อง (Machine Language) ภาษาเครื่องจัดเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ภาษาเดียวที่สามารถ ติดต่อกับคอมพิวเตอร์ได้โดยตรง เพราะว่าการเขียนคำสั่งและข้อมูลในภาษาเครื่องใช้ระบบเลขฐานสอง (binary number system) คือใช้ตัวเลข 0 และ 1 เท่านั้น

                2. ภาษาระดับต่ำ (Low Level Language) เป็นภาษาที่เขียนตามลักษณะการทำงานของเครื่อง ดังนั้น ผู้ที่ใช้ภาษาเหล่านี้จำเป็ นต้องเข้าใจการทำงานของเครื่องเป็นอย่างดีภาษาเหล่านี้ ซึ่งจะมีคำสั่งคล้ายกับ ภาษาเครื่องเป็นอย่างมาก ได้แก่  ภาษาแอสเซมบลี (Assembly Language)โดยมีแอสเซมเบลอ (Assembler) เป็นตัวแปลภาษาแอสแซมบลี คือเปลี่ยนภาษาระดับต่ำให้เป็นภาษาเครื่อง
    3. ภาษาระดับสูง (High Level Language) เป็นภาษาที่ทำความเข้าใจได้ง่าย มีลักษณะของการใช้ คำสั่งเป็ นภาษาอังกฤษซึ่งใกล้เคียงกับภาษามนุษย์มากการสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานจะต้องมีการแปล ความหมายของคำสั่งโดยใช้ตัวแปลภาษาทีละชุดคำสั่งที่เรียกว่า อินเทอร์พรีเตอร์ (Interpreter) หรือแปลครั้ง เดียวทั้งโปรแกรมที่เรียกว่า คอมไพเลอร์ (Compile)ได้แก่ ภาษาเบสิก (BASIC) ภาษาโคบอล (COBOL) ภาษาฟอร์เทรน(FORTRAN) ภาษาซี (C) เป็นต้น
                4. ภาษาระดับสูงมาก (Very High-Level Language) เป็นภาษาที่มีลักษณะสำคัญคือผู้เขียนโปรแกรม ไม่ต้องบอกวิธีการทำงานโดยละเอียดเพียงแต่ระบุคำสั่งให้ทำงานสั้นๆให้ภาษาระดับสูงมากเข้าใจก็เพียงพอ
                5. ภาษาธรรมชาติ (Nature Language) จะเกี่ยวข้องกับระบบฐานความรู้ และกฎอ้างอิง เพียงแต่ผู้ใช้ ภาษาธรรมชาติป้อนคำถามผ่านเข้าไปในคอมพิวเตอร์ที่มีภาษาธรรมชาติก็จะทำการวิเคราะห์คำถามแล้วไป ค้นหาคำตอบจากระบบฐานความรู้ที่เก็บไว้ 

 ตัวอย่างภาษาคอมพิวเตอร์
1.ภาษาเครื่อง (Machine Language)

  100110000 01100001
  




2. ภาษาแอสเซมบลี (Assembly Language) เป็นภาษที่ใกล้เคียงกับภาษาเครื่อง แต่เขียนโดยใช้ สัญลักษณ์ย่อ เพื่อให้เขียนง่ายกว่าการใช้ภาษาเครื่องโดยตรง ตัวอย่างของภาษาแอสเซมบลีจะมีความหมาย เดียวกับภาษาเครื่องข้างต้น     

   
              Mov al, 0x61
 
     
                3. ภาษาฟอร์เทรน (FORTRAN - FORmulaTRANslation) เป็นภาษาที่ออกแบบเพื่อใช้งานทาง วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และด้านคณิตศาสตร์ ภาษาฟอร์เทนจะประกอบด้วยข้อความ คำสั่ง ทีละ บรรทัด ซึ่งต้องอาศัยการคำนวณเป็นอย่างมาก ตัวอย่างการเขียนคำสั่งฟอร์เทรน สำหรับการคำนวณพื้นที่ ของรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ดังนี้
C This program calculates the area of a rectangle.
PEAL WIDTH, HEIGHI, AREA
WIDTH = 10.0
HEIGHI = 234.1
AREA = WIDTH * HEIGHI
WRITE (*,*) ' AREA = ' , AREA
STOP
END

       4. ภาษาโคบอล (COBOL : Common Business Oriented Language) เป็นภาษา        สำหรับใช้ในงาน ธุรกิจภาษาแรกของโลกโดยคำสั่งของภาษา COBOL จะคล้ายกับ            ภาษาอังกฤษทำให้สามารถอ่านและเขียน โปรแกรมได้ไม่ยากนัก ตัวอย่างการเขียน            ภาษาโคบอล ในการสั่งพิมพ์เลข 1 ถึง 10 โดยกําหนดค่าเริ่มต้น เป็น 0
                        working-storage section.
                        77 x pic 99.
                        procedure division.
        move 0 to x.
        performcal-para until x >= 10.
        stop run.
                        cal-para.
                add 1 to x.
                display x.    
         5.ภาษาเบสิก (BASIC)ภาษาโปรแกรมสำหรับผู้เริ่มต้น เป็นภาษาโปรแกรมที่เรียนรู้ง่าย ไม่ซับซ้อน เหมาะสำหรับใช้ในห้องเรียนสำหรับการเรียนการสอน มีคำสั่งที่ง่าย         สามารถเข้าใจได้เร็ว
ตัวอย่างการเขียนภาษาเบสิก สำหรับการคำนวณพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ดังนี้
                ‘ This program calculates the area of
                ‘ a rectangle
                        ‘***********************************
                PRINT : PRINT “Area Calculation”
                        PRINT
                INPUT “Width: ” ; Width
                INPUT “Height: ” ; Height
                Area = Width * Height
                        PRINT
                PRINT “Width: ” ; Width
                PRINT “Height: ” ; Height
               PRINT “Area: ” ; Area
                        END 

6. ภาษาซี (C)ภาษาสมัยใหม่ เป็นภาษาที่ใช้สำหรับเขียนโปรแกรมระบบปฏิบัติการ เหมาะสำหรับโปรแกรมเมอร์ที่มีความสามารถสูง 
                                  #include <stdio.h>
                                    main()
                                   {
                                    printf(" Hello. This is my first program. \n") ; /* This is a comment */
                                    return 0 ; 

                7.ภาษาจาวา (Java)   เป็นภาษาที่พัฒนาขึ้นล่าสุด แต่ได้รับความนิยมในการนำไปใช้ค่อนข้างมากเนื่องจากสามารถประมวลผลกับระบบคอมพิวเตอร์ได้ทุกประเภท จาวายังสามารถนำไปใช้เป็นภาษาสำหรับ อุปกรณ์แบบฝังต่าง ๆ เช่น โทรศัพท์และอุปกรณ์ขนาดมือถือแบบต่าง ๆ เป็นต้น                   
ตัวอย่างการ    เขียนภาษาจาวา การคิดเกรด 

if (score < 50)
messageBox.show(“Your grade is F”);
else if (score < 60)
messageBox.show(“Your grade is D”);
else if (score < 70)
messageBox.show(“Your grade is C”);
else if (score < 80)
messageBox.show(“Your grade is B”);
else
                              messageBox.show(“Your grade is A”);  

     4.  การทดสอบโปรแกรม    (Testing)   เป็นขั้นตอนในการทดลองใช้โปรแกรมตาม
เงื่อนไขต่างๆ  ที่กำหนดขึ้นเพื่อให้รู้ปัญหาในการใช้โปรแกรม  แล้วนำปัญหาดังกล่าวมา
แก้ไขเพื่อให้โปรแกรมนั้นมีประสิทธิภาพในการใช้งาน
     5.  การบำรุงรักษา  (Maintenance)  เป็นขั้นตอนที่จะต้องปฏิบัติเมื่อมีการใช้งานจริง  
ในระยะผู้สร้างโปรแกรมจะต้องเฝ้าดุและหาข้อผิดพลาดของโปรแกรมเพื่อทำการแก้ไข 
 หรือจะต้องพัฒนาโปรแกรมให้มีความทันสมัย

 ผังงาน  (Flowchart)  
             คือ  แผนภาพแสดงการทำงานของโปรแกรม  โดยใช้สัญลักษณ์แสดงขั้นตอนและลักษณะการทำงานแบบต่างๆ  สัญลักษณ์เหล่านี้จะถูกเชื่อมโยงด้วยลูกศรเพื่อแสดงลำดับการ
ทำงาน  ช่วยให้มองเห็นภาพการทำงานโดยรวมของโปรแกรม  สะดวกต่อการตรวจสอบความถูกต้องของลำดับการทำงานและการไหลของข้อมูลในโปรแกรม  การเขียนผังงานจะใช้สัญลักษณ์สื่อสารความหมายให้เข้าใจตรงกันของสถาบันมาตรฐานแห่งชาตอเมริกัน (The American National Standard Institute, ANSI) ได้กำหนดสัญลักษณ์ไว้เป็นมาตรฐาน  ซึ่งมี
รายละเอียดรูปแบบและความหมายที่ควรทราบตามตารางต่อไปนี้  


 ตารางแสดงสัญลักษณ์ที่ใช้ในการเขียนผังงาน


ภาษา  HTML
HTML  ย่อมาจาก  HyperText  Markup  Language  หมายถึง  ภาษาที่ใช้สำหรับเขียนเว็บเพจเพื่อให้สามารถนำไปแสดงผลบนเว็บเบราว์เซอร์ได้  การเขียน  HTML จะต้องมีโครงสร้างของภาษาและรูปแบบของคำสั่งต่าง ๆ  เพื่อให้เว็บเบราว์เซอร์สามารถเข้าใจและแสดงผลตามที่ต้องการ  เช่น  เว็บเพจที่มีการกำหนดรูปแบบตัวอักษร  สีของตัวอักษร  ขนาดของอักษร  และการสร้างตัวเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ต่าง ๆ
HTML จะต้องเขียนชุดคำสั่งกับรหัสภายในเครื่องหมาย  <  >  เรียกว่า  แท็ก  (Tag)  บันทึกไฟล์เป็นนามสกุล  .htm  และนำไฟล์ที่เป็น  HTML ไปเปิดด้วยเว็บเบราว์เซอร์
โครงสร้างของ  HTML แบ่งเป็น  2  ส่วน  คือ
1.  ส่วนหัวโปรแกรม  (Head)  เป็นส่วนที่กำหนดชื่อเรื่อง  ซึ่งจะไปปรากฏอยู่บนแถบชื่อเรื่อง  (Title  Bar) ของเว็บเบราว์เซอร์  
2.  ส่วนเนื้อหาโปรแกรม  (ฺBody)  เป็นส่วนที่กำหนดคำสั่งรูปแบบต่าง  ๆ  ที่นำเสนอในพื้นที่ใช้งานของเว็บเบราว์เซอร์
หลักการเขียนคำสั่ง    HTML จะต้องเขียนไว้ในเครื่องหมายแท็ก  โดยมีรูปแบบของคำสั่งเป็น  <TAG>....</TAG>  ซึ่งมีความหมายดังนี้
<TAG>  คือ  การเริ่มหรือเปิดคำสั่ง
...  คือ  คำสั่งที่ต้องการให้คอมพิวเตอร์ปฏิบัติตาม
</TAG> คือ  การสิ้นสุดหรือปิดคำสั่ง
โดยคำสั่ง  HTML  ที่สำคัญซึ่งจะต้องปรากฏทุกครั้งเมื่อเขียน  HTML  มีดังนี้
2.1  <HTML>...</HTML>  เป็นคำสั่งเริ่มต้นเขียนโปรแกรมและคำสั่งอื่นๆ  ซึ่งจะไม่ปรากฏบนเว็บเบราว์เซอร์แต่ต้องเขียนเพื่อให้ทราบว่าเป็นการเขียนโค้ดหรือสคริปต์ของ   ภาษา  HTML    
2.2  <HEAD>...</HEAD>  เป็นคำสั่งที่ใช้กำหนดข้อความในส่วนที่เป็นชื่อเรื่อง
2.3 <TITLE>...</TITLE>  เป็นคำสั่งที่แสดงชื่อที่จะไปปรากฏบนแถบชื่อเรื่องของเว็บเบราว์เซอร์
2.4 <BODY>...</BODY>  เป็นคำสั่งที่แสดงผลบนเว็บเบราว์เซอร์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น