หลักพื้นฐานในการเขียนโปรแกรม
การเขียนโปรแกรมภาษามีขั้นตอนการทำงานที่เรียกว่า วงจรพัฒนาโปรแกรม โดยใช้ผังงานช่วยในการออกแบบโปรแกรม เพื่อให้โปรแกรมภาษาที่พัฒนานั้นสามารถแก้ปัญหาหรือส่งเสริมการทำงานได้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
วงจรพัฒนาโปรแกรมมีจุดประสงค์หลักเพื่อสร้างโปรแกรมภาษาสำหรับแก้ปัญหาและส่งเสริมการทำงานในระบบงานหนึ่ง ๆ แบ่งเป็น 5 ขั้นตอน ดังนี้
1. การวิเคราะห์ปัญหา (Analyze the Problem) เป็นขั้นตอนการศึกษาถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและค้นหาสิ่งที่ต้องการเพื่อพิจารณาสิ่งต่อไปนี้
Input คือ ข้อมูลที่จะนำเข้าสู่คอมพิวเตอร์มีอะไรบ้าง
Process คือ วิธีการประมวลผลข้อมูลที่นำเข้าเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการคืออะไร
Output คือ การแสดงผลลัพธ์ที่ได้คืออะไร และมีรูปแบบเป็นอย่างไร
ตัวอย่างเช่น เมื่อเราต้องการสร้างโปรแกรมที่มีการนำตัวเลขเข้ามา 5 ตัว และให้แสดงผลเป็นค่าเฉลี่ยบนหน้าจอภาพ
Input คือ ตัวเลข 5 ตัว เช่น 2, 5, 3, 4, 1
Process คือ คำนวณหาค่าเฉลี่ย เช่น ( 2 + 5 + 3 + 4 + 1)/5
Output คือ แสดงค่าเฉลี่ยผ่านทางหน้าจอภาพ เช่น 3
2. การออกแบบโปรแกรม (Design a Program) เป็นขั้นตอนการใช้เครื่องมือต่างๆ ออกแบบลำดับขั้นการทำงานของโปรแกรม เพื่อให้เห็นทิศทางหรือการทำงานโดยรวมของโปรแกรม ตัวอย่างเครื่องมือที่ใช้ในการออกแบบโปรแกรม เช่น รหัสจำลอง (Pseudo Code) และผังงาน
3. การเขียนโค้ด (Coding) เป็นขั้นตอนการสร้างโปรแกรมผ่านการเขียนโค้ด การคอมไพล์และการทดลองใช้โปรแกรมและการทดลองใช้โปรแกรม โดยการเขียนโค้ดจะต้องปฏิบัติตามที่ได้ออกแบบไว้ในขั้นตอนการออกแบบโปรแกรม ซึ่งผู้สร้างโปรแกรมภาษาจะต้องเลือกใช้ภาษาคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมกับการทำงานของโปรแกรม เนื่องจากภาษาคอมพิวเตอร์แต่ละภาษาจะเหมาะสมกับการเขียนโปรแกรมภาษาที่ไม่เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น
1. ภาษาเครื่อง (Machine Language) ภาษาเครื่องจัดเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ภาษาเดียวที่สามารถ ติดต่อกับคอมพิวเตอร์ได้โดยตรง เพราะว่าการเขียนคำสั่งและข้อมูลในภาษาเครื่องใช้ระบบเลขฐานสอง (binary number system) คือใช้ตัวเลข 0 และ 1 เท่านั้น
2. ภาษาระดับต่ำ (Low Level Language) เป็นภาษาที่เขียนตามลักษณะการทำงานของเครื่อง ดังนั้น ผู้ที่ใช้ภาษาเหล่านี้จำเป็ นต้องเข้าใจการทำงานของเครื่องเป็นอย่างดีภาษาเหล่านี้ ซึ่งจะมีคำสั่งคล้ายกับ ภาษาเครื่องเป็นอย่างมาก ได้แก่ ภาษาแอสเซมบลี (Assembly Language)โดยมีแอสเซมเบลอ (Assembler) เป็นตัวแปลภาษาแอสแซมบลี คือเปลี่ยนภาษาระดับต่ำให้เป็นภาษาเครื่อง
3. ภาษาระดับสูง (High Level Language) เป็นภาษาที่ทำความเข้าใจได้ง่าย มีลักษณะของการใช้ คำสั่งเป็ นภาษาอังกฤษซึ่งใกล้เคียงกับภาษามนุษย์มากการสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานจะต้องมีการแปล ความหมายของคำสั่งโดยใช้ตัวแปลภาษาทีละชุดคำสั่งที่เรียกว่า อินเทอร์พรีเตอร์ (Interpreter) หรือแปลครั้ง เดียวทั้งโปรแกรมที่เรียกว่า คอมไพเลอร์ (Compile)ได้แก่ ภาษาเบสิก (BASIC) ภาษาโคบอล (COBOL) ภาษาฟอร์เทรน(FORTRAN) ภาษาซี (C) เป็นต้น
4. ภาษาระดับสูงมาก (Very High-Level Language) เป็นภาษาที่มีลักษณะสำคัญคือผู้เขียนโปรแกรม ไม่ต้องบอกวิธีการทำงานโดยละเอียดเพียงแต่ระบุคำสั่งให้ทำงานสั้นๆให้ภาษาระดับสูงมากเข้าใจก็เพียงพอ
5. ภาษาธรรมชาติ (Nature Language) จะเกี่ยวข้องกับระบบฐานความรู้ และกฎอ้างอิง เพียงแต่ผู้ใช้ ภาษาธรรมชาติป้อนคำถามผ่านเข้าไปในคอมพิวเตอร์ที่มีภาษาธรรมชาติก็จะทำการวิเคราะห์คำถามแล้วไป ค้นหาคำตอบจากระบบฐานความรู้ที่เก็บไว้
ตัวอย่างภาษาคอมพิวเตอร์
1.ภาษาเครื่อง (Machine Language)
|
2. ภาษาแอสเซมบลี (Assembly Language) เป็นภาษที่ใกล้เคียงกับภาษาเครื่อง แต่เขียนโดยใช้ สัญลักษณ์ย่อ เพื่อให้เขียนง่ายกว่าการใช้ภาษาเครื่องโดยตรง ตัวอย่างของภาษาแอสเซมบลีจะมีความหมาย เดียวกับภาษาเครื่องข้างต้น
|
3. ภาษาฟอร์เทรน (FORTRAN - FORmulaTRANslation) เป็นภาษาที่ออกแบบเพื่อใช้งานทาง วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และด้านคณิตศาสตร์ ภาษาฟอร์เทนจะประกอบด้วยข้อความ คำสั่ง ทีละ บรรทัด ซึ่งต้องอาศัยการคำนวณเป็นอย่างมาก ตัวอย่างการเขียนคำสั่งฟอร์เทรน สำหรับการคำนวณพื้นที่ ของรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ดังนี้
|
4. ภาษาโคบอล (COBOL : Common Business Oriented Language) เป็นภาษา สำหรับใช้ในงาน ธุรกิจภาษาแรกของโลกโดยคำสั่งของภาษา COBOL จะคล้ายกับ ภาษาอังกฤษทำให้สามารถอ่านและเขียน โปรแกรมได้ไม่ยากนัก ตัวอย่างการเขียน ภาษาโคบอล ในการสั่งพิมพ์เลข 1 ถึง 10 โดยกําหนดค่าเริ่มต้น เป็น 0
working-storage section.
77 x pic 99.
procedure division.
move 0 to x.
performcal-para until x >= 10.
stop run.
cal-para.
add 1 to x.
display x.
5.ภาษาเบสิก (BASIC)ภาษาโปรแกรมสำหรับผู้เริ่มต้น เป็นภาษาโปรแกรมที่เรียนรู้ง่าย ไม่ซับซ้อน เหมาะสำหรับใช้ในห้องเรียนสำหรับการเรียนการสอน มีคำสั่งที่ง่าย สามารถเข้าใจได้เร็ว
ตัวอย่างการเขียนภาษาเบสิก สำหรับการคำนวณพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ดังนี้
‘ This program calculates the area of
‘ a rectangle
‘***********************************
PRINT : PRINT “Area Calculation”
PRINT
INPUT “Width: ” ; Width
INPUT “Height: ” ; Height
Area = Width * Height
PRINT
PRINT “Width: ” ; Width
PRINT “Height: ” ; Height
PRINT “Area: ” ; Area
END
6. ภาษาซี (C)ภาษาสมัยใหม่ เป็นภาษาที่ใช้สำหรับเขียนโปรแกรมระบบปฏิบัติการ เหมาะสำหรับโปรแกรมเมอร์ที่มีความสามารถสูง
#include <stdio.h>
main()
{
printf(" Hello. This is my first program. \n") ; /* This is a comment */
return 0 ;
7.ภาษาจาวา (Java) เป็นภาษาที่พัฒนาขึ้นล่าสุด แต่ได้รับความนิยมในการนำไปใช้ค่อนข้างมากเนื่องจากสามารถประมวลผลกับระบบคอมพิวเตอร์ได้ทุกประเภท จาวายังสามารถนำไปใช้เป็นภาษาสำหรับ อุปกรณ์แบบฝังต่าง ๆ เช่น โทรศัพท์และอุปกรณ์ขนาดมือถือแบบต่าง ๆ เป็นต้น
ตัวอย่างการ เขียนภาษาจาวา การคิดเกรด
if (score < 50)
messageBox.show(“Your grade is F”);
else if (score < 60)
messageBox.show(“Your grade is D”);
else if (score < 70)
messageBox.show(“Your grade is C”);
else if (score < 80)
messageBox.show(“Your grade is B”);
else
messageBox.show(“Your grade is A”);
4. การทดสอบโปรแกรม (Testing) เป็นขั้นตอนในการทดลองใช้โปรแกรมตาม
เงื่อนไขต่างๆ ที่กำหนดขึ้นเพื่อให้รู้ปัญหาในการใช้โปรแกรม แล้วนำปัญหาดังกล่าวมา
แก้ไขเพื่อให้โปรแกรมนั้นมีประสิทธิภาพในการใช้งาน
5. การบำรุงรักษา (Maintenance) เป็นขั้นตอนที่จะต้องปฏิบัติเมื่อมีการใช้งานจริง
ในระยะผู้สร้างโปรแกรมจะต้องเฝ้าดุและหาข้อผิดพลาดของโปรแกรมเพื่อทำการแก้ไข
หรือจะต้องพัฒนาโปรแกรมให้มีความทันสมัย
ผังงาน (Flowchart)
คือ แผนภาพแสดงการทำงานของโปรแกรม โดยใช้สัญลักษณ์แสดงขั้นตอนและลักษณะการทำงานแบบต่างๆ สัญลักษณ์เหล่านี้จะถูกเชื่อมโยงด้วยลูกศรเพื่อแสดงลำดับการ
ทำงาน ช่วยให้มองเห็นภาพการทำงานโดยรวมของโปรแกรม สะดวกต่อการตรวจสอบความถูกต้องของลำดับการทำงานและการไหลของข้อมูลในโปรแกรม การเขียนผังงานจะใช้สัญลักษณ์สื่อสารความหมายให้เข้าใจตรงกันของสถาบันมาตรฐานแห่งชาติอเมริกัน (The American National Standard Institute, ANSI) ได้กำหนดสัญลักษณ์ไว้เป็นมาตรฐาน ซึ่งมี
รายละเอียดรูปแบบและความหมายที่ควรทราบตามตารางต่อไปนี้
ตารางแสดงสัญลักษณ์ที่ใช้ในการเขียนผังงาน
ภาษา HTML
HTML ย่อมาจาก HyperText Markup Language หมายถึง ภาษาที่ใช้สำหรับเขียนเว็บเพจเพื่อให้สามารถนำไปแสดงผลบนเว็บเบราว์เซอร์ได้ การเขียน HTML จะต้องมีโครงสร้างของภาษาและรูปแบบของคำสั่งต่าง ๆ เพื่อให้เว็บเบราว์เซอร์สามารถเข้าใจและแสดงผลตามที่ต้องการ เช่น เว็บเพจที่มีการกำหนดรูปแบบตัวอักษร สีของตัวอักษร ขนาดของอักษร และการสร้างตัวเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ต่าง ๆ
HTML จะต้องเขียนชุดคำสั่งกับรหัสภายในเครื่องหมาย < > เรียกว่า แท็ก (Tag) บันทึกไฟล์เป็นนามสกุล .htm และนำไฟล์ที่เป็น HTML ไปเปิดด้วยเว็บเบราว์เซอร์
โครงสร้างของ HTML แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
1. ส่วนหัวโปรแกรม (Head) เป็นส่วนที่กำหนดชื่อเรื่อง ซึ่งจะไปปรากฏอยู่บนแถบชื่อเรื่อง (Title Bar) ของเว็บเบราว์เซอร์
2. ส่วนเนื้อหาโปรแกรม (ฺBody) เป็นส่วนที่กำหนดคำสั่งรูปแบบต่าง ๆ ที่นำเสนอในพื้นที่ใช้งานของเว็บเบราว์เซอร์
หลักการเขียนคำสั่ง HTML จะต้องเขียนไว้ในเครื่องหมายแท็ก โดยมีรูปแบบของคำสั่งเป็น <TAG>....</TAG> ซึ่งมีความหมายดังนี้
<TAG> คือ การเริ่มหรือเปิดคำสั่ง
... คือ คำสั่งที่ต้องการให้คอมพิวเตอร์ปฏิบัติตาม
</TAG> คือ การสิ้นสุดหรือปิดคำสั่ง
โดยคำสั่ง HTML ที่สำคัญซึ่งจะต้องปรากฏทุกครั้งเมื่อเขียน HTML มีดังนี้
2.1 <HTML>...</HTML> เป็นคำสั่งเริ่มต้นเขียนโปรแกรมและคำสั่งอื่นๆ ซึ่งจะไม่ปรากฏบนเว็บเบราว์เซอร์แต่ต้องเขียนเพื่อให้ทราบว่าเป็นการเขียนโค้ดหรือสคริปต์ของ ภาษา HTML
2.2 <HEAD>...</HEAD> เป็นคำสั่งที่ใช้กำหนดข้อความในส่วนที่เป็นชื่อเรื่อง
2.3 <TITLE>...</TITLE> เป็นคำสั่งที่แสดงชื่อที่จะไปปรากฏบนแถบชื่อเรื่องของเว็บเบราว์เซอร์
2.4 <BODY>...</BODY> เป็นคำสั่งที่แสดงผลบนเว็บเบราว์เซอร์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น